บทความนี้ตีพิมพ์ในนิตยสาร Fine Art Magazine ปีที่ 4 ฉบับที่ 33
“สำหรับผู้ที่ภาวนาขอให้ดอกซากุระบานนั้น
ข้าพเจ้าปรารถนาจะให้เขาเห็นฤดูใบไม้ผลิ
ที่ส่งแสงออกมาจากหมู่ไม้ ที่มีใบเขียวชอุ่มเป็นหย่อมๆ
ในท่ามกลางหมู่บ้านแถบภูเขาที่มีหิมะปกคลุมเสียจริงๆ”[1]
บทร้อยกรองข้างต้น เขียนขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 12 โดยอาจารย์สอนการปรุงน้ำชาผู้มีชื่อเสียงท่านหนึ่งของญี่ปุ่น การกล่าวถึงความมีชีวิตชีวาและแรงกระตุ้นของชีวิตที่แทรกซ่อนอยู่ท่ามกลางความเปล่าเปลี่ยวของฤดูหนาวในบทร้อยกรองบทนี้ สะท้อนให้เห็นถึงรสนิยมทางศิลปะบางอย่างที่มักจะปรากฏอยู่เสมอในงานศิลปะของประเทศกลุ่มตะวันออกไกล โดยเฉพาะอย่างยิ่งศิลปะประเพณีนิยมของประเทศญี่ปุ่น ที่มักเผยให้เห็นอารมณ์สงบ เงียบ นิ่ง และเรียบง่ายอย่างยิ่ง ซึ่งหลอมรวมเป็นความงดงามแบบล้ำลึกและลึกลับ จนบางครั้งเกือบจะเป็นไปในเชิงขาดแคลน หม่นหมอง และสันโดษวิเวก อันเป็นบุคลิกลักษณะสำคัญของรสนิยมทางศิลปะของชนชาตินี้ ดังประโยคหนึ่งในงานเขียนที่ชื่อ “เยินเงาสลัว” (In Praise of Shadows) ของจุนอิชิโร่ ทะนิสะกิ ที่กล่าวไว้ว่า
“เรา (ชนชาติญี่ปุ่น - ผู้เขียน) มิได้รังเกียจทุกสิ่งที่ทอประกายแวววับ แต่เราสมัครนิยมความเรืองรองอันล้ำลึกมากกว่าความเจิดจ้าอันผิวเผิน ไม่ว่าจะเป็นรัตนมณีหรือสิ่งประดิษฐ์โดยฝีมือมนุษย์ เราพอใจแสงทึมๆ ซึ่งบ่งบอกถึงความสุกใสจากความเก่าแก่”[2]
และรสนิยมทางสุนทรียภาพรวมทั้งรูปแบบศิลปะที่ถือว่ามีความสำคัญจนสามารถสร้างเอกลักษณ์ที่โดดเด่นอย่างยิ่งให้แก่ศิลปวัฒนธรรมของชาวอาทิตย์อุทัยนั้น อาจจะกล่าวได้ว่าไม่มีใดเกิน “ศิลปะเซน” หรือ “ศิลปะฌาน” ซึ่งปรากฏรุ่งเรืองมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์สุ้ง (Sung หรือ Song) ของจีน อันเป็นช่วงเวลาสำคัญในประวัติศาสตร์ศิลปะจีนที่ได้รับการยกย่องว่าได้ก่อเกิดพัฒนาการขั้นสูงในงานจิตรกรรม และได้ส่งผ่านเข้ามายังประเทศญี่ปุ่นพร้อมๆกับพระพุทธศาสนานิกายเซนนับตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 12 เป็นต้นมา
ข้าพเจ้าปรารถนาจะให้เขาเห็นฤดูใบไม้ผลิ
ที่ส่งแสงออกมาจากหมู่ไม้ ที่มีใบเขียวชอุ่มเป็นหย่อมๆ
ในท่ามกลางหมู่บ้านแถบภูเขาที่มีหิมะปกคลุมเสียจริงๆ”[1]
บทร้อยกรองข้างต้น เขียนขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 12 โดยอาจารย์สอนการปรุงน้ำชาผู้มีชื่อเสียงท่านหนึ่งของญี่ปุ่น การกล่าวถึงความมีชีวิตชีวาและแรงกระตุ้นของชีวิตที่แทรกซ่อนอยู่ท่ามกลางความเปล่าเปลี่ยวของฤดูหนาวในบทร้อยกรองบทนี้ สะท้อนให้เห็นถึงรสนิยมทางศิลปะบางอย่างที่มักจะปรากฏอยู่เสมอในงานศิลปะของประเทศกลุ่มตะวันออกไกล โดยเฉพาะอย่างยิ่งศิลปะประเพณีนิยมของประเทศญี่ปุ่น ที่มักเผยให้เห็นอารมณ์สงบ เงียบ นิ่ง และเรียบง่ายอย่างยิ่ง ซึ่งหลอมรวมเป็นความงดงามแบบล้ำลึกและลึกลับ จนบางครั้งเกือบจะเป็นไปในเชิงขาดแคลน หม่นหมอง และสันโดษวิเวก อันเป็นบุคลิกลักษณะสำคัญของรสนิยมทางศิลปะของชนชาตินี้ ดังประโยคหนึ่งในงานเขียนที่ชื่อ “เยินเงาสลัว” (In Praise of Shadows) ของจุนอิชิโร่ ทะนิสะกิ ที่กล่าวไว้ว่า
“เรา (ชนชาติญี่ปุ่น - ผู้เขียน) มิได้รังเกียจทุกสิ่งที่ทอประกายแวววับ แต่เราสมัครนิยมความเรืองรองอันล้ำลึกมากกว่าความเจิดจ้าอันผิวเผิน ไม่ว่าจะเป็นรัตนมณีหรือสิ่งประดิษฐ์โดยฝีมือมนุษย์ เราพอใจแสงทึมๆ ซึ่งบ่งบอกถึงความสุกใสจากความเก่าแก่”[2]
และรสนิยมทางสุนทรียภาพรวมทั้งรูปแบบศิลปะที่ถือว่ามีความสำคัญจนสามารถสร้างเอกลักษณ์ที่โดดเด่นอย่างยิ่งให้แก่ศิลปวัฒนธรรมของชาวอาทิตย์อุทัยนั้น อาจจะกล่าวได้ว่าไม่มีใดเกิน “ศิลปะเซน” หรือ “ศิลปะฌาน” ซึ่งปรากฏรุ่งเรืองมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์สุ้ง (Sung หรือ Song) ของจีน อันเป็นช่วงเวลาสำคัญในประวัติศาสตร์ศิลปะจีนที่ได้รับการยกย่องว่าได้ก่อเกิดพัฒนาการขั้นสูงในงานจิตรกรรม และได้ส่งผ่านเข้ามายังประเทศญี่ปุ่นพร้อมๆกับพระพุทธศาสนานิกายเซนนับตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 12 เป็นต้นมา
“ศิลปะเซน” ก็คือศิลปะที่สร้างขึ้นเพื่อถ่ายทอดความรู้สึก ประสบการณ์ หรือเรื่องราวบางอย่างที่อิงอาศัย เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กับนิกายเซน โดยมากแล้วมักจะไม่ได้สร้างขึ้นด้วยฝีมือของศิลปินอาชีพ แต่เป็นพระ นักบวช หรือผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาในปรัชญาคำสอนของนิกายนี้ จนการวาดภาพกลายเป็นวัตรปฏิบัติประจำวัน เพื่อโน้มนำจิตใจให้สงบมีสมาธิ ดังเช่นรูปวงกลมเอ็นโซ (ensō) ที่ผู้วาดจะนั่งสงบสำรวมให้เกิดสมาธิก่อนจะตวัดพู่กันลงบนกระดาษหรือผ้าไหมอย่างรวดเร็ว เพียงครั้งเดียว กล่าวกันว่า การวาดภาพวงกลมนี้สามารถสะท้อนถึงคุณภาพทางจิตและสมาธิของผู้วาดได้เป็นอย่างดี งานศิลปะจึงเป็นเสมือนภาพสะท้อนของปรัชญาแนวคิดแบบเซนที่ไม่เพียงให้อิทธิพลแก่รสนิยมทางศิลปะเท่านั้น แต่ยังแทรกซึมอยู่ในชีวิตทุกๆด้านของชาวญี่ปุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้สึกเชิงสุนทรียภาพที่มีต่อสิ่งต่างๆรอบตัวอีกด้วย
ดังที่ปรากฏในชื่อของบทความนี้ “ความรู้สึกเชิงสุนทรียภาพ” (aesthetic sensitivity) สองประการที่มีความสำคัญอย่างสูงในงานศิลปะเซนเรียกเป็นคำภาษาญี่ปุ่นว่า “วะบิ” (Wabi) และ “ซะบิ” (Sabi) ค่ะ
“วะบิ” (wabi) ตามความหมายของคำหมายถึง การบูชาความยากจน ความยากไร้ ขาดแคลน ไม่สมบูรณ์ ความล้าสมัย การหลีกลี้หรือไม่อยู่ในสังคมที่ทันสมัยในช่วงเวลานั้นๆ ความสันโดษ มักน้อย การมีชีวิตที่เรียบง่าย ใกล้ชิดกับธรรมชาติ
ส่วน “ซะบิ” (sabi) ตามความหมายของคำหมายถึง ความโดดเดี่ยว ความวิเวก ความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว ความเงียบงัน สงบนิ่ง นอกจากงานจิตรกรรมแล้ว “ซะบิ” ยังถือเป็นหลักการสำคัญหนึ่งในสี่ข้อของศิลปะการปรุงน้ำชา หรือที่เรียกว่า “ชาโนะยุ” อีกด้วย
วะบิและซะบินั้น อาจจะมีเค้าโครงที่มาจากลักษณะคำสอนของนิกายเซนที่ไม่ได้มุ่งสร้างทฤษฎีหรือระบบคิดที่ยิ่งใหญ่ใดๆ ทั้งยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับวิธีการที่อิงกับระบบตรรกะเหตุผลเช่นที่ลัทธินิกายอื่นๆนิยมกัน แม้ในคำสอนของเซนเองก็มุ่งเน้นไปที่การทำลายความยึดติดในวิธีคิดที่เต็มไปด้วยแบบแผนต่างๆเหล่านั้น ดร.สุสุกิ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องนิกายเซนกล่าวว่า “ในชีวิตด้านพุทธิปัญญา (นิกายเซน - ผู้เขียน) ก็มิได้แสวงหาความรุ่มรวยแห่งมโนคติ มิได้แสวงหาความหลักแหลมหรือความขึงขังในการที่จะจัดความคิดให้เป็นระเบียบ และในการสร้างระบบปรัชญาขึ้นมาเลย” (ไดเซตซ์ ที. สุสุกิ, 2518 : 30) ลักษณะของนิกายเซนดังนี้ จึงส่งผ่านมายังรสนิยมทางสุนทรียภาพที่ใฝ่หาความเรียบง่าย สงบ ลดทอน และให้ความสำคัญกับความยากไร้และความไม่สมบูรณ์ไปในที่สุด
นอกจากหลักคำสอน อีกสิ่งหนึ่งที่ส่งอิทธิพลต่อความรู้สึกเชิงสุนทรียภาพแบบ “วะบิ” และ “ซะบิ” คืองานจิตรกรรมในสมัยราชวงศ์สุ้ง ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากปรัชญาแนวคิดแบบเซนเช่นกันและยังถือได้ว่าเป็นยุคทองของจิตรกรรมจีน โดยมากแล้วจิตรกรจีนที่นิยมในหลักคำสอนนิกายเซนหรือลัทธิเต๋าในสมัยราชวงศ์สุ้ง มักจะแสดงออกถึงปรัชญาแนวคิดผ่านทางงานจิตรกรรม โดยมีลักษณะที่ไม่ยึดติดกับรูปแบบตามประเพณีนิยม แต่กลับมีการแสดงออกอย่างอิสระ ปราศจากกฎเกณฑ์ และเป็นไปอย่างฉับพลันทันใด อันสอดคล้องกับวิถีทางบรรลุธรรมขึ้นสูงแบบฉับพลัน (sudden) ซึ่งเป็นวิถีปฏิบัติที่นำโดยท่านฮุ่ยเน้ง (เว่ยหลาง) สังฆปรินายกผู้นำนิกายเซนทางตอนใต้ของประเทศจีน[3]
สมัยราชวงศ์สุ้ง มีจิตรกรคนสำคัญมากมาย หนึ่งในนั้นคือ หม่าหยวน (Ma Yüan, 1190-1225) ซึ่งที่ได้รับการจัดให้อยู่ในกลุ่มของสกุลช่างราชวงศ์สุ้งใต้[4] ลักษณะที่โดดเด่นในงานของศิลปินท่านนี้ คือ การวางองค์ประกอบภาพแบบเน้นมุมใดมุมหนึ่ง ให้เกิดความสมดุลแต่ไม่เท่าเทียมกัน (balance asymmetry) เป็นการเล่นลีลาระหว่าง “ความมี” กับ “ความไร้” “รูปทรง”กับ “พื้นที่ว่าง” แสดงภาพของทิวทัศน์ที่ดูเวิ้งว้าง เปล่าเปลี่ยว โดยมีจุดสนใจเล็กๆที่มุมใดมุมหนึ่ง การวาดภาพของหม่าหยวนมีชื่อเรียกอย่างเฉพาะเจาะจงว่า “จิตรกรรมแบบมุมเดียว” (One Corner Ma : มุมของหม่า) ซึ่งต่อมาภายหลังการเน้นความสำคัญที่มุมใดมุมหนึ่งของภาพ ด้วยการวางภาพอย่างไม่สมดุลหรือไม่ได้สัดส่วนกันขององค์ประกอบในภาพแต่กลับสามารถสร้างความรู้สึกที่พอดีลงตัวได้ ก็กลายเป็นลักษณะสำคัญประการหนึ่งของศิลปะญี่ปุ่น ที่รับอิทธิพลโดยตรงมาจากจิตรกรรมแบบมุมเดียวของหม่าหยวนนี้เองค่ะ
หม่าหยวน และจิตรกรสมัยราชวงศ์สุ้ง ยังได้สร้างกลวิธีการวางภาพตามแนวทางแบบ “พู่กันประหยัด” ซึ่งมีการเขียนเส้นและป้ายสีให้น้อยครั้งที่สุดเท่าที่จะทำได้ อันเป็นอิทธิพลที่รับมาจากการมุ่งเน้นให้เกิดสมาธิเพื่อการบรรลุธรรมขั้นสูงด้วยวิธีแบบฉับพลัน การทำน้อยให้ได้มากเช่นนี้เอง จะปลดปล่อยจิตใจของผู้วาดให้โลดแล่นผ่านปลายพู่กันอย่างมีพลังโดยไม่ประดิดประดอย และได้พัฒนามาเป็นพื้นฐานสำคัญอีกประการหนึ่งของความรู้สึกเชิงสุนทรียภาพแบบญี่ปุ่นในเวลาต่อมา
“ความไม่สมดุล ความไม่ได้สัดส่วน “มุมหนึ่ง” ความยากจน ซะบิ หรือ วะบิ ความง่ายๆ ความโดดเดี่ยว และมโนคติที่มีลักษณะอย่างเดียวกัน ได้ก่อให้เกิดเป็นลักษณะสำคัญที่เด่นที่สุดและเป็นอัตลักษณ์ของศิลปะและวัฒนธรรมญี่ปุ่น ทั้งหมดนี้เกิดจากความรู้สึกซึมซาบในสัจธรรมของนิกายเซนที่นับว่าสำคัญยิ่งประการหนึ่งซึ่งเป็น “หนึ่งในสิ่งที่มากหลาย และเป็นสิ่งที่มากหลายในหนึ่ง” หรือถ้าจกกล่าวให้ถูกต้องยิ่งไปกว่านี้ก็ต้องว่า “หนึ่งที่คงเป็นหนึ่งในความมากหลาย ทั้งในแง่ปัจเจกและในแง่แบบรวมๆ” (ไดเซตซ์ ที. สุสุกิ, 2518 : 38)
ในงานจิตรกรรมเซน เราอาจจะเห็นภาพเรือจับปลาลำเล็ก ผุพัง ปราศจากเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัยใดๆ ลอยอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรเวิ้งว้าง อย่างโดดเดี่ยว หรือ ภาพนักบวช บัณฑิตที่แต่งกายด้วยผ้าเก่าขาดวิ่น สวมหมวกฟางและรองเท้าไม้ ไร้ทรัพย์สินศฤงคารมีค่า ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางวงล้อมของธรรมชาติ เป็นการแสดงถึงคุณธรรมและความงดงามบางอย่างของความไม่สมบูรณ์ ความขาดแคลน ความหมดหวัง แต่ความหมายที่แทรกซ่อนอยู่ในความยากไร้ขาดแคลนนี้ กลับเต็มไปด้วยคุณค่าทางจิตวิญญาณ และความเต็มตื้นจากการสัมผัสรับรู้ถึงธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่รอบตัว ศิลปะญี่ปุ่นและนิกายเซนจึงอยู่ใกล้ชิดกับอารมณ์ความรู้สึกสุนทรียภาพแบบวะบิและซะบิ และเข้าใกล้ความงดงามและสมบูรณ์พร้อมแห่งปัญญาญาณ ดังว่า
“ความไม่สมบูรณ์นี้แหละจะกลายเป็นความสมบูรณ์แบบหนึ่ง เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าความงามไม่จำเป็นจะต้องหมายถึงความสมบูรณ์ของรูปเลย ข้อนี้ได้กลายเป็นกลเม็ดที่นิยมกันมากอย่างหนึ่งของศิลปินญี่ปุ่น นั่นคือในการที่จะใส่ความงามไว้ในรูปที่ไม่สมบูรณ์ หรือแม้แต่รูปที่น่าเกลียด” (ไดเซตซ์ ที. สุสุกิ, 2518 : 31)
นอกจากวะบิและซะบิแล้ว ยังมีความรู้สึกเชิงสุนทรียะที่โดดเด่นในงานศิลปะของเซนอีกสองประการก็คือ “ความอ่อนไหวต่อธรรมชาติและสิ่งรอบข้าง” (Mono no Aware) และ “ยูเง็น” (yūgen) ความงามอย่างลี้ลับและล้ำลึก ที่มักจะปรากฏอยู่ในบทกวีนิพนธ์ บทร้อยกรอง ของญี่ปุ่น อยู่เสมอๆ นักวิชาการบางท่านสันนิฐานว่านอกจากปรัชญาคำสอนทางศาสนาแล้ว สภาพแวดล้อมของภูมิประเทศ คืออีกปัจจัยหนึ่งที่สร้างพื้นฐานให้แก่ความรู้สึกทางสุนทรียภาพของศิลปะเซนซึ่งเป็นรากของวัฒนธรรมทางศิลปะของชนชาติญี่ปุ่นด้วย
“สภาพภูมิประเทศเป็นบ่อเกิดสำคัญในการสร้างสรรค์งานทางด้านศิลปะแขนงต่างๆ ซึ่งรวมทั้งงานทางด้านวรรณกรรมด้วย และธรรมชาติยังมีส่วนกำหนดรสนิยมของคนญี่ปุ่นให้นิยมความเรียบง่าย ความงามอย่างลี้ลับและล้ำลึก และความรู้สึกอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว ซึ่งเป็นผัสสะที่ได้รับจากธรรมชาตินั่นเอง” (พิพาดา ยังเจริญ, 2535 : 7)
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามองโดยผิวเผินแล้ว สำหรับโลกสมัยใหม่ใหม่แบบตะวันตก ความรู้สึกเชิงสุนทรียภาพของญี่ปุ่น ทั้งวะบิและซะบินั้น ดูจะเป็นเรื่องของความทุกข์ ความเศร้า เป็นเรื่องที่น่าสงสาร น่าเห็นใจ และไม่ใช่สิ่งที่มีคุณค่าน่ายกย่อง หากลักษณะเช่นนี้เองกลับเป็นท่าทีของโลกตะวันออกซึ่งสอดคล้องกับความคิด ความเชื่อ ปรัชญา และศาสนา ที่ยกย่องคุณค่าภายในและมุ่งสู่ความจริงและความงามบางอย่างที่เหนือไปกว่าโลกแห่งผัสสะจะหามีได้
ผู้เขียนขอจบบทความนี้ ด้วยคำกล่าวของ ดร.สุสุกิ ที่สามารถสรุปใจความสำคัญของเรื่องนี้ไว้ได้เป็นอย่างดีว่า “นิสัยแห่งจิตของเซน คือการทะลุทะลวงรูปทุกชนิดที่มนุษย์ได้ประดิดประดอยขึ้นมา และยึดมั่นอยู่กับสิ่งที่อยู่เบื้องหลังรูปเหล่านั้น ได้ช่วยให้ชาวญี่ปุ่นไม่ลืมบ้านเมืองของตน หากมักชอบทำตัวเป็นมิตรกับธรรมชาติและพอใจกับความง่ายๆที่ไม่มีอะไรมาพ้องพาน” (ไดเซตซ์ ที. สุสุกิ, 2518 : 30) หาก “จิตของเซน” สามารถช่วยให้ชาวญี่ปุ่น “ไม่ลืมบ้านเมืองของตน” แล้วในบ้านเมืองเราตอนนี้ละคะ อะไรจะช่วยให้คนไทยไม่ลืมความเป็นไทยได้บ้าง การให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนา “ประจำชาติ” นั้นจะช่วยได้จริงๆละหรือ? ใครช่วยตอบทีค่ะ
ในโอกาสต่อไปคอลัมน์นี้ยังมีเรื่องราวของศิลปะ ปรัชญา และศาสนา ที่น่าสนใจอีกมากมายที่ผู้เขียนอยากนำมาชวนคิดชวนคุย อย่าลืมติดตามกันนะคะ
บรรณานุกรม
กำจร สุนพงษ์ศรี. (2536). ประวัติศาสตร์ศิลปะจีน. กรุงเทพ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ไดเซตซ์ ที. สุสุกิ. (2518). เซนกับวัฒนธรรมญี่ปุ่น. จำนงค์ ทองประเสริฐ ผู้แปล. กรุงเทพ:
ราชบัณฑิตยสถาน, พิมพ์ครั้งที่ 1.
พิพาดา ยังเจริญ. (2535). ประวัติอารยธรรมญี่ปุ่น. กรุงเทพ : สมาคมนักเรียนเก่าญี่ปุ่นในพระบรม
ราชูปถัมภ์.
ภาพประกอบ
http://www.metmuseum.org
[1] บทกลอนโดย ฟูจิวาระ อิเยทะกะ (ค.ศ. 1158-1237), อ้างใน ไดเซตซ์ ที. สุสุกิ (2518), หน้า 34
[2] จุนอิชิโร ทะนิสะกิ แปลโดยสุวรรณา วงศ์ไวศยวรรณ, อ้างใน พิพาดา ยังเจริญ (2535), หน้า 6
[3] นิกายเซนในประเทศจีนนั้นหลังจากสิ้นพระโพธิธรรม สังฆปรินายกองค์ที่ 1 ในประเทศจีนไปแล้ว ก็แตกออกเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มทางภาคเหนือซึ่งนำโดยพระภิกษุชาวอินเดียนามว่า พุทธปรียะ ส่วนทางใต้นั้นนำโดยท่านฮุ่ยเน้ง หรือเว่ยหลาง ที่ถือกันว่าท่านเป็นผู้ที่สร้างให้เกิดศาสนาพุทธนิกายฌานแบบจีนอย่างแท้จริงขึ้นมาเป็นครั้งแรก
[4] ราชวงศ์สุ้งของจีนนั้นแบ่งเป็นราชวงศ์ฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้ อีกทั้งลักษณะการสร้างงานจิตรกรรมที่มีความแตกต่างกันในรายละเอียด ทำให้มีผลต่อการแบ่งกลุ่มของศิลปินออกเป็นฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้ด้วย
บรรณานุกรม
กำจร สุนพงษ์ศรี. (2536). ประวัติศาสตร์ศิลปะจีน. กรุงเทพ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ไดเซตซ์ ที. สุสุกิ. (2518). เซนกับวัฒนธรรมญี่ปุ่น. จำนงค์ ทองประเสริฐ ผู้แปล. กรุงเทพ:
ราชบัณฑิตยสถาน, พิมพ์ครั้งที่ 1.
พิพาดา ยังเจริญ. (2535). ประวัติอารยธรรมญี่ปุ่น. กรุงเทพ : สมาคมนักเรียนเก่าญี่ปุ่นในพระบรม
ราชูปถัมภ์.
ภาพประกอบ
http://www.metmuseum.org
[1] บทกลอนโดย ฟูจิวาระ อิเยทะกะ (ค.ศ. 1158-1237), อ้างใน ไดเซตซ์ ที. สุสุกิ (2518), หน้า 34
[2] จุนอิชิโร ทะนิสะกิ แปลโดยสุวรรณา วงศ์ไวศยวรรณ, อ้างใน พิพาดา ยังเจริญ (2535), หน้า 6
[3] นิกายเซนในประเทศจีนนั้นหลังจากสิ้นพระโพธิธรรม สังฆปรินายกองค์ที่ 1 ในประเทศจีนไปแล้ว ก็แตกออกเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มทางภาคเหนือซึ่งนำโดยพระภิกษุชาวอินเดียนามว่า พุทธปรียะ ส่วนทางใต้นั้นนำโดยท่านฮุ่ยเน้ง หรือเว่ยหลาง ที่ถือกันว่าท่านเป็นผู้ที่สร้างให้เกิดศาสนาพุทธนิกายฌานแบบจีนอย่างแท้จริงขึ้นมาเป็นครั้งแรก
[4] ราชวงศ์สุ้งของจีนนั้นแบ่งเป็นราชวงศ์ฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้ อีกทั้งลักษณะการสร้างงานจิตรกรรมที่มีความแตกต่างกันในรายละเอียด ทำให้มีผลต่อการแบ่งกลุ่มของศิลปินออกเป็นฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้ด้วย
1 ความคิดเห็น:
ท่านผู้อ่านมีความเห็นอย่างไรต่อบทความนี้ เชิญแสดงความคิดเห็นได้นะคะ
แสดงความคิดเห็น